วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เบี้ยแก้ เครื่องรางล้างอาถรรพ์ทั้งปวง

เบี้ยแก้ ศาตร์แห่งการแก้ กัน อาถรรพ์ทั้งปวง เบี้ยแก้เป็นเครื่องรางของขลัง ที่เสาะหาได้ยาก ทำจากหอยเบี้ย ที่มีคุณลักษณะตามตำรา ครูอาจารย์ผู้ทรงเวทจะเรียก หรือดักจับปรอทให้เข้าไปอยู่ในหอยเบี้ย และปิดด้วยชันนะโรงที่ถูกต้องตามตำรา ปิดด้วยคาถาอาคม พร้อมปลุกแสกอัดพลังเพิ่มเข้าไป ทำให้เบี้ยแก้นั้นยิ่งทรงอานุภาพ สามารถป้องกัน และแก้ทางพลังเวท คุณไสยที่ไม่ดีทั้งหลายให้กับผู้ครอบครองได้ดีนัก

เบี้ยแก้ ทำไมต้องทำจากหอยเบี้ย หอยอื่นได้หรือไม่ เรื่องนี้มีคติความเชื่อมาแต่โบราณกาล สันนิษฐานกันว่า เนื่องด้วยสมัยก่อนเราใช้หอยเบี้ยแทนเงินตรา ในการจับจ่ายซื้อสิ่งของต่างๆ ดังนั้นเวลาบนบาลศาลกล่าว ก็มีบนกันด้วยเบี้ย เช่นดังปัจจุบันที่เราก็บนบาลกันว่าถ้าได้ดังมที่ตั้งใจ จะทำบุญไปกี่บาท ทำนองนั้น สมัยก่อนก็เช่นเดียวกันว่าถ้าได้ดังใจจะแก้ไปกี่เบี้ย นี่อาจะเป็นส่วนหนึ่งในที่มาของคำว่าเบี้ยแก้

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อจากวิชาพราหมณ์มาก่อนว่า หอยเบี้ยนั้นก็เป็นหอยที่มีคุณวิเศษอยู่ในตัว หากคุณลักษณะถูกต้องตามตำรา หาใช่หอยเบี้ยทุกตัวไม่ นี่จึงอาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเลือกใช้หอยเบี้ย มาทำ “เบี้ยแก้” เพื่อกันแก้สิ่งไม่ดีทั้งหลาย ทั้งที่เห็นหรือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็เป็นได้

หอยเบี้ย ต้องเป็นเช่นไร? ต้องเป็นเบี้ยจั่น ไม่ใช่ หอยจั่น เพราะเบี้ยจั่นนั้นมีขนาดเล็ก สดวกง่ายต่อการพกติดตัว ส่วนหอยจั่นนั้นมีขนาดใหญ่เกินไป พกพาติดตัวค่อนข้างยาก นอกจากนี้ ตามที่ได้บันทึกไว้ในตำราของทางวัดกลางบางแก้ว ท่านว่าหอยเบี้ย ต้องมีฟันครบ ๓๒ ซี่ จะขาดหรือเกินมิได้ เพราะถือว่ามีชีวิตต้องมีอาการ ๓๒ ครบดังคนเรา อีกอย่างถ้าจะเป็นเบี้ยแก้ที่ดีเลิศ บนหลังหอยต้องมีเส้นจากหัวยาวไปจนถึงก้นหอยโดยไม่ขาด ท่านถือว่านั่นคือเส้นปัดตลอด ดีเลิศนัก

สิ่งธนสิทธิ์อีกอย่างที่การทำเบี้ยแก้ขาดไม่ได้ ใช้สำหรับบรรจุลงไปในเบี้ยแก้ คือ “ปรอท” สมัยบรรพกาลนั้นครูบาอาจารย์ท่านจะไปดักจับปรอทเอาตามในป่าเขา ซึ่งเป็นปรอทที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเชื่อกันว่าเป็นปรอทที่มีชีวิต และมีพิษ (หาใช่ปรอทที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน) ดังนั้นเมื่อครูบาอาจารย์ท่านดักจับปรอทได้มาแล้ว ก็มีพิธีกรรมการฆ่าปรอทเสียก่อน หรือการเอาพิษออกนั่นเอง จึงจะนำปรอทนั้นมาใช้งานได้

ชันนะโรง คือสิ่งสำคัญอีกอย่างในการทำเบี้ยแก้ที่จะขาดไปไม่ได้ ตามตำราท่านว่าต้องเป็นชันนะโรงที่อยู่ในดิน และกลางแจ้ง ท่านให้หาฤกษ์ที่ดีไปพลีเอามาเตรียมไว้ เพราะขี้ชันนะโรงนั้นมีความเหนียว เมื่อแข็งตัวจะคงทนมาก ใช้สำหรับปิดปากหอยเบี้ย เพื่อไม่ให้ปรอทนั้นย้อนกลับออกมาได้

เมื่อได้หอยเบี้ย และปรอทมาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านจะหาฤกษ์ในการประกอบพิธีเรียกปรอทให้เข้าไปอยู่ในหอยเบี้ย โดยเล่ากันว่าท่านอาจารย์จะใช้ใบหญ้าคา พาดระหว่างภาชนะที่ใส่ปรอทลงไปยังปากของหอยเบี้ย โดยพระอาจารย์ท่านจะบริกรรมมนต์คาถาจนปรอทวิ่งขึ้นไปบนใบหญ้าคา และไหลลงไปในหอยเบี้ยจนได้น้ำหนัก ๑ บาท ก็ใช้ชันนะโรงอุดปากรูหอยเบี้ยทันที และกำกับด้วยมนต์คาถา หลังจากนั้นก็จะนำมาปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง

เนื่องจากเบี้ยแก้นั้นแตกได้ง่าย หากพลัดตก หรือไปกระทบกับของแข็งรุนแรง โบราณจารย์ท่านจึงถักเชือกหุ้มเบี้ยแก้ไว้ และลงยางรักเพื่อความคงทนอีกชั้นหนึ่ง

เบี้ยแก้ที่เป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักสะสม หรือคนเล่นเครื่องรางของขลัง อาทิเช่น

นอกจากนี้ในปัจจุบันก็ยังคงมีผู้สืบทอดสรรพวิชา และมีการสร้างกันอยู่บ้างเนืองๆ แต่นับว่าหายากเต็มที ที่มีความเข้มขลัง แก้กันได้สารพัด

สรรพคุณเบี้ยแก้

อย่างที่เรารู้กันโดยทั่วไป ว่าเบี้ยแก้ มีสรรพคุณแก้ทางคุณไสย คุณผี คุณคน และป้องกันไสยเวททั้งหลายทั้งมวล ที่จะวิ่งเข้ามาทำร้ายเจ้าของ กันภูตผีปีศาจ ทำลายล้างอาถรรพ์ทั้งปวง ใช้ทำน้ำมนต์ถอดถอนของที่ถูกกระทำใส่ได้ ต้องบอกว่าสรรพคุณนั้นเหมาะอย่างยิ่งกับบุคคลทั่วไป ที่ควรมีติดตัวไว้ นอกจากพระรัตนตรัย

ทว่า…เบี้ยแก้นั้น จะมีพลังมากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับบารมีของครูบาอาจารย์ที่จัดสร้างด้วย มีบางรายนำเบี้ยแก้ไป แต่ก็ไม่สามารถสู้กับพลังของไสยเวทที่คงแก่กล้าได้ก็มี แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเบี้ยแก้ของเราสามารถกันคุณไสยนั้นได้หรือไม่

เคยมีประสบการของท่านหนึ่ง เขามีเบี้ยแก้ติดตัว แต่โดนคนจ้างครูหมอผู้มีวิชาแก่กล้าทำของใส่ ซึ่งครูหมอนั้นมีสรรพเวทที่เข้มขลังยิ่งนัก ทำให้เบี้ยแก้ของเขาไม่สามารถกันพลังนั้นได้ ทำให้น้ำปรอทที่อยู่ในหอยเบี้ยไหลเยิ้มออกมาอย่างไม่น่าจะไหลออกมาได้ ถ้าเจอเช่นนี้ เจ้าของเบี้ยแก้ต้องรีบไปหาครูบาอาจารย์ที่มีวิชาเข้มขลังให้ช่วยตรวจดูตัวเอง และทำการล้างของให้โดยด่วน เพราะแรงขนาดนั้น หากปล่อยไว้ท่านอาจถึงตายได้

วิธีใช้เบี้ยแก้

ทั่วไปคือให้พกติดตัว เวลาเดินทางไปนอกบ้าน บางท่านอยู่ในบ้านก็พกติดตัวตลอดเวลา โดยมักจะพกไว้ไม่ต่ำกว่าระดับเอว เช่น ห้อยคอ, ใส่กระเป๋าเสื้อ, หรือร้อยห้อยเอวเหมือนตะกรุดก็มี หากไม่มีพระคาถากำกับจากครูบาอาจารย์ผู้สร้าง ให้ใช้วิธีพนมมืออธิษฐานเอา ว่าให้เบี้ยแก้ช่วยสิ่งใด

บางตำราก็ว่า ถ้าพกไปสู้รบให้ไว้ด้านหลัง ถ้าไปหาขุนนางใหญ่โตให้ไว้ด้านขวา ถ้าเข้าหาผู้หญิงให้ไว้ด้านซ้าย จำสำฤทธิ์ผลยิ่งนัก (เรื่องนี้ต้องสอบถามจากครูบาอาจารย์ผู้สร้างให้แน่ชัดนะครับ)

การเก็บไว้ในบ้าน แน่นอนละว่ามันคือเครื่องรางที่ล้างอาถรรพ์ทั้งปวง จึงควรเก็บแยกไว้ต่างหาก อย่ารวมกับเครื่องรางของขลังอื่นๆ เพราะอาจทำให้เครื่องรางอื่นๆ เสื่อมพลังไปได้ วางไว้ที่สูงพอประมาณ บ้างก็แขวนห้อยไว้บนหัวนอนก็มี...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น